แนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบ
ดร.มนัสยา แรกคำนวน
(9/1/63)
Thesis DD (TDD)
ความหมายของรูปแบบ
“รูปแบบ” หรือ Model เป็นคำที่ใช้เพื่อสื่อความหมายหลายอย่าง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรูปแบบจะหมายถึง สิ่งหรือวิธีการดำเนินงานที่เป็นต้นแบบอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่เป็นตัวแทนของโครงสร้างทางความคิด สิ่งที่สร้างหรือพัฒนาขึ้นจากแนวคิดทฤษฎีที่ได้ศึกษามาของผู้สร้างเอง เพื่อเชื่อมโยงความ สัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆ โดยสามารถเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์จริงได้ เพื่อช่วยให้ตนเองและคนอื่นสามารถเข้าใจได้ชัดเจน
ประเภทของรูปแบบ
รูปแบบมีหลายประเภท โดยรูปแบบทางการศึกษาและสังคมศาสตร์
แบ่งเป็นรูปแบบที่ใช้การอุปมาอุปไมยเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ซึ่งเป็นรูปธรรม
เพื่อสร้างความเข้าใจในปรากฏการณ์ที่เป็นนามธรรม
รูปแบบที่ใช้ภาษาเป็นสื่อในการบรรยายหรืออธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาด้วยภาษา แผนภูมิ
รูปภาพ รูปแบบที่ใช้สมการทางคณิตศาสตร์เป็นสื่อในการแสดงความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง
ๆ และรูปแบบที่นำเอาตัวแปรต่าง ๆ มาสัมพันธ์กันเชิงเหตุและผลที่เกิดขึ้น
การพัฒนารูปแบบ
การพัฒนารูปแบบ แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ 1)
การสร้างหรือพัฒนารูปแบบ การประเมินความเหมาะสมและการหาคุณภาพของรูปแบบ
โดยการสร้างรูปแบบ (Model) จะไม่มีข้อกำหนดที่ตายตัวว่าต้องทำอะไรบ้าง
แต่จะเริ่มต้นจากการศึกษาองค์ความรู้ (Intensive Knowledge) ในเรื่องที่สนใจหรือกำลังศึกษา
โดยจะสร้างรูปแบบตามหลักการหรือข้อกำหนดของรูปแบบที่จะพัฒนา 2) การตรวจสอบความเที่ยงตรงของรูปแบบความเหมาะสมหาคุณภาพของรูปแบบต่อไป
ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
ขั้นตอนที่
1 การสร้างหรือพัฒนารูปแบบในขั้นตอนนี้ผู้วิจัยจะสร้างหรือพัฒนารูปแบบขึ้นมาก่อนเป็นรูปแบบตามสมมติฐาน
โดยศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ผู้วิจัยอาจศึกษารายกรณี
หน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี
ซึ่งผลการศึกษาจะนำมาใช้กำหนดองค์ประกอบหรือตัวแปรต่าง ๆ ภายในรูปแบบ
รวมทั้งลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างองค์ ประกอบหรือตัวแปรเหล่านั้นหรือลำดับก่อนหลังของแต่ละองค์ประกอบในรูปแบบ
ดังนั้นการพัฒนารูปแบบในขั้นตอนนี้จะต้องอาศัยหลักของเหตุผลเป็นรากฐานสำคัญ
ซึ่งโดยทั่วไปการศึกษาในขั้นตอนนี้จะมีขั้นตอนย่อย ๆ ดังนี้
1)
การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำสารสนเทศที่ได้มาวิเคราะห์และสังเคราะห์ร่างเป็นกรอบความคิดการวิจัย
2) การศึกษาจากบริบทจริง
ในขั้นตอนนี้อาจจะดำเนินการได้หลายวิธี ดังนี้
-
การศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินการในปัจจุบันของหน่วยงาน โดยศึกษาความคิดเห็นจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง
(Stakeholder) ซึ่งวิธีศึกษาอาจจะใช้วิธีการสัมภาษณ์
กาสอบถาม การสำรวจและการสนทนากลุ่ม เป็นต้น
- การศึกษารายกรณี (Case
Study) หรือพหุกรณีหน่วยงานที่ประสบผลสำเร็จ
หรือมีแนวปฏิบัติที่ดีในเรื่องที่ศึกษา
เพื่อนำมาเป็นสารสนเทศที่สำคัญในการพัฒนารูปแบบ
- การศึกษาข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ
วิธีศึกษาอาจจะใช้วิธีการสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) เป็นต้น
3) การจัดทำรูปแบบในขั้นตอนนี้ผู้วิจัยจะใช้สารสนเทศที่ได้ในข้อข้างต้นมาวิเคราะห์และสังเคราะห์
เพื่อกำหนดเป็นกรอบความคิดการวิจัยและนำมาจัดทำรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม ในงานวิจัยบางเรื่องนอกจากจะศึกษาตามขั้นตอนที่กล่าวมาแล้ว
ผู้วิจัยยังอาจ จะศึกษาเพิ่มเติม โดยใช้กระบวนการวิจัยแบบเดลฟาย (Delphi Technique)
หรือการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion)
ในการพัฒนารูปแบบก็ได้
ขั้นตอนที่
2 การทดสอบความเที่ยงของรูปแบบ
ภายหลังที่ได้พัฒนารูปแบบในขั้นตอนแรกแล้ว
จำเป็นที่จะต้องทดสอบความเที่ยงตรงของรูปแบบดังกล่าว
เพราะรูปแบบที่พัฒนาขึ้นถึงแม้จะพัฒนาโดยมีรากฐานจากทฤษฎี
แนวความคิดรูปแบบของบุคคลอื่นและผลการวิจัยที่ผ่านมา
แต่ก็เป็นเพียงรูปแบบตามสมมติฐาน
ซึ่งจำเป็นจะต้องทดสอบความเที่ยงตรงของรูปแบบว่ามีความเหมาะ สมหรือไม่
เป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพตามที่มุ่งหวังหรือไม่
การเก็บรวบรวมข้อมูลในสถานการณ์จริงหรือทดลองใช้รูปแบบในสถานการณ์จริง
จะช่วยให้ทราบอิทธิพลหรือความสำคัญขององค์ประกอบย่อยหรือตัวแปรต่าง ๆ ในรูปแบบ
ผู้วิจัยอาจจะปรับปรุงรูปแบบใหม่
โดยการตัดองค์ประกอบหรือตัวแปรที่พบว่าไม่มีอิทธิพลหรือมีความสำคัญน้อยออกจากรูปแบบ
ซึ่งจะทำให้ได้รูปแบบที่มีความเหมาะ สมยิ่งขึ้น
การทดสอบรูปแบบอาจกระทำได้ใน
4 ลักษณะ
ดังนี้
1) การทดสอบรูปแบบด้วยการประเมินตามมาตรฐานที่กำหนด การประเมินที่พัฒนาโดย
The Joint Committee on Standards of Educational Evaluation ภายใต้การดำเนินงานของ Stufflebeam และคณะได้นำเสนอหลักการประเมินเพื่อเป็นบรรทัดฐานของกิจกรรม
การตรวจสอบรูปแบบ ประกอบด้วยมาตรฐาน 4 ด้าน (สุวิมล ว่องวาณิช, 2549: 54-56) ดังนี้
การตรวจสอบรูปแบบ ประกอบด้วยมาตรฐาน 4 ด้าน (สุวิมล ว่องวาณิช, 2549: 54-56) ดังนี้
- มาตรฐานความเป็นไปได้ (Feasibility Standards) เป็นการประเมินความเป็นไปได้ในการนำไปปฏิบัติจริง
- มาตรฐานด้านความเป็นประโยชน์ (Utility Standards)
เป็นการประเมินการสนองตอบต่อความต้องการของผู้ใช้รูปแบบ
- มาตรฐานด้านความเหมาะสม (Propriety Standards) เป็นการประเมินความเหมาะสมทั้งในด้านกฎหมายและศีลธรรมจรรยา
- มาตรฐานด้านความถูกต้องครอบคลุม (Accuracy Standards)
เป็นการประ เมินความน่าเชื่อถือและได้สาระครอบคลุมครบถ้วนตามความต้องการอย่างแท้จริง
2) การทดสอบรูปแบบด้วยการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ
การทดสอบรูปแบบ
ในบางเรื่องไม่สามารถกระทำได้โดยข้อมูลเชิงประจักษ์ ด้วยการประเมินค่าพารามิเตอร์ของรูปแบบหรือการดำเนินการทดสอบรูปแบบด้วยวิธีการทางสถิติ แต่งานวิจัยบางเรื่องนั้นต้องการ
ความละเอียดอ่อนมากกว่าการได้ตัวเลขแล้วสรุป ซึ่ง ไอส์เนอร์ (Eisner, 1976: 192-193) ได้เสนอแนวคิดของการทดสอบหรือประเมินรูปแบบโดยใช้ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีแนวคิด ดังนี้
ในบางเรื่องไม่สามารถกระทำได้โดยข้อมูลเชิงประจักษ์ ด้วยการประเมินค่าพารามิเตอร์ของรูปแบบหรือการดำเนินการทดสอบรูปแบบด้วยวิธีการทางสถิติ แต่งานวิจัยบางเรื่องนั้นต้องการ
ความละเอียดอ่อนมากกว่าการได้ตัวเลขแล้วสรุป ซึ่ง ไอส์เนอร์ (Eisner, 1976: 192-193) ได้เสนอแนวคิดของการทดสอบหรือประเมินรูปแบบโดยใช้ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีแนวคิด ดังนี้
- การประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ
จะเน้นการวิเคราะห์และวิจารณ์อย่างลึกซึ้งเฉพาะในประเด็นที่ถูกพิจารณา ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกี่ยวโยงกับวัตถุประสงค์หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเสมอไปแต่อาจจะผสมผสานกับปัจจัยต่าง
ๆ ในการพิจารณาเข้าด้วยกันตามวิจารณญาณของผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับข้อมูลคุณภาพประสิทธิภาพและความเหมาะสมของสิ่งที่จะทำการประเมิน
- รูปแบบการประเมินที่เป็นความชำนาญเฉพาะทาง (Specialization) ในเรื่องที่จะประเมินโดยพัฒนามาจากแบบการวิจารณ์งานศิลปะ (Art
Criticism) ที่มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง
และต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมาเป็นผู้วินิจฉัย
เนื่องจากเป็นการวัดคุณค่าที่ไม่อาจประเมินด้วยเครื่องวัดใด ๆ
และต้องใช้ความรู้ความสามารถของผู้ประเมินอย่างแท้จริง แนวคิดนี้ได้นำมาประยุกต์ ใช้ในทางการศึกษาระดับสูงมากขึ้น
ทั้งนี้เพราะเป็นองค์ความรู้เฉพาะสาขา ผู้ที่ศึกษาเรื่องนั้นจริง ๆ
จึงจะทราบและเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ดังนั้น ในวงการศึกษาจึงนิยมนำรูปแบบนี้มาใช้ในเรื่องที่ต้องการความลึกซึ้งและความเชี่ยวชาญเฉพาะ
- รูปแบบที่ใช้ตัวบุคคลคือ ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นเครื่องมือในการประเมินโดยให้ความเชื่อถือว่าผู้ทรงคุณวุฒินั้นเที่ยงธรรมและมีดุลพินิจที่ดี
ทั้งนี้มาตรฐานและเกณฑ์พิจารณาต่าง ๆ นั้น จะเกิดขึ้นจากประสบการณ์และความชำนาญของผู้ทรงคุณวุฒินั้นเอง
- รูปแบบที่ยอมให้มีความยืดหยุ่นในกระบวนการทำงานของผู้ทรงคุณวุฒิตามอัธยาศัย
และความถนัดของแต่ละคน นับตั้งแต่การกำหนดประเด็นสำคัญที่จะนำมาพิจารณา การบ่ง ชี้ข้อมูลที่ต้องการ
การเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผล การวินิจฉัยข้อมูล ตลอดจนวิธีการนำเสนอ
3) การทดสอบรูปแบบ โดยการสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรที่เกี่ยวข้องมักจะใช้กับการพัฒนารูปแบบโดยใช้เทคนิคเดลฟาย
เมื่อผู้วิจัยได้พัฒนารูปแบบโดยใช้เทคนิคเดลฟายเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว
ผู้วิจัยจะนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นในรอบสุดท้ายมาจัดทำเป็นแบบสอบถามที่มีลักษณะเป็นแบบประมาณค่า
(Rating Scale) เพื่อนำไปสำรวจความคิดเห็นของบุคคลที่เกี่ยวกับความเหมาะ
สมและความเป็นไปได้ของรูปแบบ
4) การทดสอบรูปแบบ
โดยการทดลองใช้รูปแบบ การทดสอบรูปแบบ โดยการทด ลองใช้รูปแบบนี้
ผู้วิจัยจะนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปทดลองใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย มีการดำเนินการตามกิจกรรมอย่างครบถ้วน
ผู้วิจัยจะนำข้อค้นพบที่ได้จากการประเมินไปปรับปรุงรูปแบบต่อไป
ภาพที่ 1 ขั้นตอนการวิจัยการพัฒนารูปแบบ